โครงการวิจัย.


ชื่อโครงการวิจัย  :  การใช้เทคโนโลยีล่าสุดร่วมในการรักษาผู้ที่มีภาวะล้มเหลวในการควบคุมปริมาณ เชื้อไวรัสในกลุ่มประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด
Study name  :   Management Using the Latest Technologies in Resource-Limited  Settings to  Optimize Combination Therapy After Viral Failure (MULTI- OCTAVE)

เครือข่ายวิจัย (รหัสโครงการ) :  A5288
Research network (Code) :

หัวหน้าโครงการวิจัย : ศ.นพ. ขวัญชัย  ศุภรัตน์ภิญโญ
Principle investigator : Professor Khuanchai  Supparatpinyo, MD

หัวหน้าโครงการวิจัยร่วม :  พญ. พัชรพรรณ   สุคนธเวศ
Co-PI :  Dr. Patcharaphan  Sugandhavesa

หน่วยงานที่ร่วมวิจัย(Collaborators )  :
เครือข่ายการวิจัยทางคลินิกด้านโรคเอดส์  (AIDS Clinical Trial Group :ACTG Network)

แหล่งทุน (Funding agency) :
สถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ  ประเทศสหรัฐอเมริกา (The National Institute of Allergy and Infectious Diseases :NIAID)

สถานที่ทำการวิจัย (รวมต่างประเทศ) (Study sites):
มีกว่า 20   หน่วยวิจัยทั่วโลก ทั้ง ลาตินอเมริกา  แอฟริกา  และ เอเชีย (ประเทศไทยและอินเดีย)

ระยะเวลาเริ่มดำเนินงาน (เริ่ม intervention หรือ เริ่ม enroll อาสาสมัคร) Study start
เริ่มเปิดโครงการ :  เปิดรับอาสามัครเข้าร่วมโครงการ เมื่อ 16 ธันวาคม 2556
เป้า หมาย  :           ผู้ติดเชื้อ เอชไอวี อายุ 18  ปีขึ้นไปเป็นผู้ที่ดื้อต่อยาต้านไวรัสกลุ่ม NRTIs, NNRTIs, และ PIs และปัจจุบันนี้ประสบความล้มเหลวในการรักษาด้วยยาที่มีสูตรยา PI จำนวน  500 คน ทั่วโลก   สำหรับหน่วยวิจัยสถาบันวิจัยวทยาศาสตร์สุขภาพ  รับจำนวน  30 คน

รูปแบบของงานวิจัย (Study design)
การ ศึกษานี้เป็นการศึกษาระยะที่  4 แบบเปิดฉลากมีการแทรกแซงและติดตามไปข้างหน้า  การศึกษากลยุทธ ในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ดื้อยาทั้ง 3 กลุ่ม คือ   nucleoside reverse transcriptase inhibitors (NRTIs), non-NRTIs (NNRTIs), และ protease inhibitors (PIs)]  และผู้ที่ล้มเหลวต่อการรักษาด้วยสูตรยาที่ใช้อยู่เพื่อประเมิน การใช้ยาชนิดใหม่ร่วมกับการวิธีจัดการที่ทันสมัย รวมถึงการวิเคราะห์ลักษณะพันธุกรรมของเชื้อดื้อยา  การติดตามปริมาณเชื้อไวรัสในกระแสเลือด   โดยผลการตรวจเชื้อดื้อยาและประวัติการได้รับยาต้านไวรัส จะมีการนำไปพิจารณาเพื่อจัดกลุ่มแบ่งอาสาสมัคร1 ใน 4  กลุ่ม  มี 3  step
การเข้าร่วมโครงการใน Step I
ตารางแสดงแต่ละ Cohort ลักษณะทางพันธุกรรมของเชื้อดื้อยาและสูตรยาที่ใช้

Cohort

ARV Resistance Profile

Step 1 Study Regimen

A

ไม่ดื้อต่อ Pis และยังไวต่อ NRTIs อย่างน้อย 1 ตัว ไม่ว่า NNRTIs จะดื้อหรือไม่ก็ตาม หรือ เคยได้รับ RAL ใช้ยาสูตร 2 ต่อไป ; อาจมีการปรับเปลี่ยน NRTIs ตามที่ทางโครงการสนับสนุน

B

ดื้อต่อ LPV/RTV แต่ไวต่อ DRV/RTV และ ETR และไม่เคยได้รับ RAL   ไม่ว่าNRTIs จะดื้อหรือไม่ก็ตาม

หรือ

ดื้อต่อ NRTIs แต่ไวต่อ DRV/RTV และ ETR  และไม่เคยได้รับ RAL

B1:

RAL 400mg วันละ 2  ครั้ง

DRV 600 mg + RTV 100 mg วัยนละ 2  ครั้ง

At least two best available NRTIs

B2:

ETR 200 mg วันละ 2  ครั้ง

RAL 400 mg วันละ 2  ครั้ง

DRV 600 mg + RTV 100 mg วันละ 2  ครั้ง

B3:

RAL 400 mg วันละ 2  ครั้ง

DRV 600 mg + RTV 100 mg วันละ 2  ครั้ง    ร่วมกับ

FTC 200 mg/ TDF 300 mg วันละครั้ง     หรือ

TDF 300 mg วันละครั้ง+ 3TC 150 mg วันละ  2 ครั้ง หรือ 300 mg วันละครั้ง(โครงการไม่สนับสนุน)

C

ดื้อต่อ LPV/RTV และและ ETR  แต่ไวต่อ DRV/RTV และไม่เคยได้รับ RAL ไม่ว่าNRTIs จะดื้อหรือไม่ก็ตาม

หรือ

ดื้อต่อ ETR  และ NRTIs แต่ไวต่อ DRV/RTV และไม่เคยได้รับ RAL

RAL 400 mg วันละ  2 ครั้ง

DRV 600 mg + RTV 100 mg วันละ  2 ครั้ง

At least two best available NRTIs

D

ดื้อต่อ NRTI และ/หรือดื้อต่อ DRV/RTV หรือเคยได้รับ RAL มาก่อน สูตรที่เหมาะสมที่สุด, ซึ่งอาจเป็นยาในโครงการ (study-provided)  และ/หรือนอกโครงการ (locally obtained drugs)

การศึกษาการใช้วิธีการเตือนการกินยาทางโทรศัพท์ร่วมกับการให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาตามมาตรฐานการดูแลรักษา
กลุ่มอาสาสมัครแต่ละ cohort  จะได้รับการสุ่ม 1:1  ให้ได้รับการจัดการเรื่องวินัยในการกินยา 2 กลุ่มได้แก่

กลุ่ม

CPI+SOC

Cell phone-based adherence intervention added to local standard of care

การเตือนการกินยาทางโทรศัพท์ร่วมกับการให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาตามมาตรฐานการดูแลรักษา

กลุ่ม

SOC

Standard of care

การให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาตามมาตรฐานการดูแลรักษา

การเข้าร่วมโครงการใน Step 2
เมื่ออาสาสมัครเกิด virologic failure ขณะอยู่ในโครงการ  และอาสาสมัครยินดีที่จะอยู่ต่อในโครงการจะได้รับการตรวจเชื้อดื้อยาอีกครั้ง และเข้าสู่ Step2 cohort ตามผลลักษณะทางพันธุกรรมเชื้อดื้อยาที่ตรวจพบ

การเข้าร่วมโครงการใน Step 3
เมื่อ อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการใน Steps 1 และStep 2  สิ้นสุดลงแล้ว  อาสามัครที่ได้รับยา Raltegravir (RAL), Darunavir (DRV), หรือ Etravirine (ETR)  จะสามารถเข้าร่วมโครงการใน Step 3  โดยทาง
โครงการจะสนับสนุนยา ทั้ง 3 ตัว ต่อไปอีก 96 สัปดาห์ อาสาสมัครจะได้รับการนัดมาตรวจปีละ 2 ครั้ง ทางโครงการจะให้การดูแลตามมาตรฐานการดูแลรักษา

.4
สำหรับหน่วย วิจัยที่เข้าร่วมการศึกษาเรื่องวินัยในการกินยา  อาสาสมัครจะได้รับการสุ่มเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่มีการใช้วิธีการเตือน การกินยาทางโทรศัพท์ร่วมกับการให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาตามมาตรฐาน การดูแลรักษา(Cell Phone-based adherence intervention plus local standard of care : CPI+SOC)  และกลุ่มที่ให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาตามมาตรฐานการดูแลรักษา (local standard of care : SOC)

วัตถุประสงค์ของการวิจัย (วัตถุประสงค์หลัก รอง)
1. วัตถุประสงค์หลัก (Primary  objective)
เพื่อ ศึกษาการใช้ยาต้านไวรัสชนิดใหม่ล่าสุดควบคู่กับการใช้วิธีจัดการที่ทันสมัย เช่น การวิเคราะห์ลักษณะยีนเพื่อเลือกยารักษาสูตรที่ 3 ที่เหมาะสม การแทรกแซงเพื่อเพิ่มวินัยในการกินยาและการกำกับดูแลปริมาณเชื้อไวรัสใน กระแสเลือดโดยมีเป้าหมายในการควบคุมเชื้อไวรัสในอัตรา ≥ 65% เมื่อติดตามการรักษาที่ 48 สัปดาห์
2. วัตถุประสงค์รอง (Secondary objective)

2.1    เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงปริมาณของ HIV-1 RNA และ CD4+ T-cell counts เมื่อผ่านไป 48 สัปดาห์และความทนทานต่อการตอบสนองหลังจาก 48 สัปดาห์  รวมถึงผลของการรักษา(AIDS-defining และ  non-AIDS-defining events, การนอนในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต) ใน 4 กลุ่มการศึกษา (Cohorts A-D).
2.2    เพื่ออธิบายลักษณะความทนต่อสูตรยาใน 4 กลุ่มการศึกษา (Cohorts A-D).
2.3     เพื่ออธิบายลักษณะผลการเปลี่ยนแปลงด้านกระบวนการเผาผลาญ ( metabolic outcome)   ได้แก่  ระดับ fasting lipids ในสัปดาห์ที่ 48 ของแต่ละสูตรยา ใน 4 กลุ่มการศึกษา (Cohorts A-D)
2.4       เพื่อประเมินผลจากการใช้วิธีการเตือนการกินยาทางโทรศัพท์ร่วมการให้คำแนะนำ เรื่องวินัยในการกินยาตามมาตราฐานการดูแลรักษา (Cell Phone-based adherence intervention plus local standard of care : CPI+SOC)   เปรียบเทียบกับ การให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาตามมาตรฐานการดูแลรักษา (local standard of care : SOC)    ในการควบคุมปริมาณเชื้อไวรัส เมื่อติดตามการรักษาที่ 48 สัปดาห์
2.5       เพื่อศึกษาความปลอดภัยของการใช้ยาต้านไวรัสสูตรรวมสูตรที่สาม  ในด้านของอัตราการปรับเปลี่ยนการรักษาหรือหยุดการรักษาการติดเชื้อ HIV1 และลักษณะยาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นพิษ
2.6   เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงปริมาณของ HIV-1 RNA และ CD4+ T-cell counts เมื่อผ่านไป 48 สัปดาห์และความทนทานต่อการตอบสนองหลังจาก 48 สัปดาห์  และผลการรักษา(AIDS-defining, non-AIDS-defining events และการเสียชีวิต) ระหว่างกลุ่มที่มีการใช้วิธีการเตือนการกินยาทางโทรศัพท์ร่วมการให้คำแนะนำ เรื่องวินัยในการกินยา (CPI + SOC) เปรียบเทียบกับ กลุ่มที่ให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาเพียงอย่างเดียว.
2.7   เพื่อเปรียบเทียบความทนต่อยาสูตรที่สามในอาสาสมัครที่กลุ่มที่มีการใช้วิธี การเตือนการกินยาทางโทรศัพท์ร่วมกับให้คำแนะนำ (CPI+SOC)   เปรียบเทียบกับ กลุ่มที่ให้คำแนะนำเรื่องวินัยในการกินยาเพียงอย่างเดียว (SOC)
2.8        อาสาสมัครกลุ่ม B (Cohort B) ที่ไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ศึกษาว่าการได้รับสูตรยารวมซึ่งประกอบด้วยยา ETR+DRV/RTV+RAL (etravirine, ritonavir-boosted darunavir, raltegravir) ตอบสนองต่อ CD4+ T-cell ดีขึ้น และความทนต่อยาได้ดีกว่าสูตรยา NRTIs+DRV/RTV+RAL หรือไม่
2.9       เพื่อศึกษาความชุกของการกลายพันธ์ของเชื้อที่ดื้อยา (resistance mutations) ในกลุ่มประชากรเมื่อแรกเข้าโครงการและ minority-variant level ใน 4 กลุ่มการศึกษา (Cohorts A-D)  และศึกษาความชุกของ viral subtype
2.10    เพื่ออธิบายรูปแบบของการกลายพันธ์ (mutation)  และการสะสมการกลายพันธ์ตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นในอาสาสมัครที่เกิด virologic failure
2.11     เพื่อประเมินผลกระทบของการพยากรณ์  ได้แก่  viral subtype, baseline mutations  และ polymorphisms ที่เกิดขึ้นใน gag, protease, reverse transcriptase และ integrase  (ได้จากการวิเคราะห์ population-based genotyping และ minority-variant)   ต่อผลลัพธ์ทาง virologic ใน 4  กลุ่มการรักษา (Cohort A-D)
2.12    เพื่อประเมินความสัมพันธ์ด้านวินัยในการกินยาของสูตรยาที่ใช้ศึกษากับผลลัพธ์ทางด้านไวรัส (virologic outcome)
2.13     เพื่อให้การใช้ทรัพยากรและข้อมูลด้านคุณภาพชีวิต เพื่อใช้สนับสนุนแบบจำลองความคุ้มค่าของการเลือกใช้ยาต้านไวรัส โดยการใช้ประวัติการรักษาและลักษณะทางพันธุกรรมของเชื้อดื้อยา  รวมถึงความคุ้มค่าเมื่อมีการแทรกแซงด้านวินัยในการกินยา
2.14     เพื่อประเมินอุบัติการณ์ของภาวะ immune reconstitution inflammatory syndrome (IRIS)  และอธิบายด้านคลินิกที่พบรวมถึงเชื้อโรคที่เกี่ยวข้อง  และ/หรือสภาวะการอักเสบ
2.15     เพื่อศึกษาระดับยา Darunavir (DRV) ในน้ำนมแม่

3.   วัตถุประสงค์ทางเภสัชวิทยา

3.1   เพื่อประเมินค่าของ PK ของยา Darunavir/Ritongvir  (DRV/RTV), Etravirine (ETR) and Raltegravir (RAL) ในอาสาสมัครที่อยู่ในกลุ่ม sub-cohort B2ที่ไม่ได้รับยา rifabutin (RBT) (Reference arm)  และกลุ่มรับยา rifabutin (RBT) (test arm)
3.2  เพื่อใช้ในการปรับขนาดยาสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนในกลุ่ม sub-cohort B2   ที่มีความเข้มข้นของ
ระดับยา Etravirine (ETR) และ Raltegravir (RAL) น้อยกว่าค่าที่กำหนดหลังจากได้รับยา (Rifabuting)
RBT
3.3  เพื่อประเมินความปลอดภัยและความทนทานของยาสูตร DRV/RTV, ETR และ RAL   เมื่อใช้ร่วมกับ RBT
3.4   เพื่อประเมินคุณลักษณะ PK ของยา RBT ในอาสาสมัครที่ได้รับยา RBT เพิ่มเติมจากสูตรยาต้านไวรัสไม่ว่าอาสาสมัครจะอยู่ใน cohort ใด

ความสำคัญ (Significance)
โครงการ ศึกษานี้เป็นการศึกษาหาสูตรยาต้านไวรัสสูตรที่สาม  ที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ล้มเหลวในการรักษากับยาสูตรที่ สอง โดยในการศึกษานี้จะมีการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีตัวใหม่หลายตัว  ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีในการช่วยเรื่องวินัยในการกินยาของอาสาสมัคร  โครงการการวิจัยนี้คาดหวังว่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งจะสามารถช่วยผู้ติด เชื้อเอชไอวีที่มีปัญหาดื้อยาหลายขนาน  อีกทั้งอาสามัครที่เข้าร่วมโครงการ  จะได้รับการรักษาด้วยสูตรยาชนิดใหม่ซึ่งอาจมีประสิทธิผลดีกว่าสูตรยาชนิด เดิมที่อาสาสมัครใช้อยู่ในปัจจุบัน   อาสาสมัครได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมออย่างใกล้ชิด และได้รับทราบข้อมูลและความรู้ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอชไอวี

ความก้าวหน้า ณ ปัจจุบัน ( Progression )
ขณะนี้อยู่ในระหว่างเปิดรับและติดดามอาสามัคร

ผลการศึกษาที่น่าสนใจ
Interesting findings
N/A

เอกสารที่ต้องการเผยแพร่ (ถ้ามี)
Publications
N/A

เชื่อมโยงไปยัง web site ของโครงการ (ถ้ามี)
Link to project’s web site

https://clinicaltrials.gov/ct2/show/NCT01641367

https://member.actgnetwork.org/study/51838#profile=0

( user and password required)

Post 1894 Views